วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

ความสำคัญของระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์แก๊ซโซลีนผลิตขึ้นจากน้ำมันพื้นฐานและสารเพิ่มคุณภาพในปริมาณที่พอเหมาะหลายชนิดพอสรุปได้ดังนี้ -

สารเพิ่มดัชนีความหนืด (Viscosity Index Improvers)
สารชะล้างและกระจายคราบเขม่า (Detergency and Dispersancy Additives)

สารป้องกันปฏิกิริยาอ๊อคซิเดชั่น (Oxidation Inhibitors)
สารป้องกันการกัดกร่อน (Corrosion Inhibitors)
สารเพิ่มความเป็นด่าง (Alkaline Additives)
สารป้องกันการสึกหรอ (Anti-wear Additives)
สารรับแรงกดสูง (Extreme Pressure Additives)
สารป้องกันฟอง (Anti-foam Additives)
สารลดจุดไหลเท (Pour Point Depressants)


น้ำมันพื้นฐานและสารเพิ่มคุณภาพบางตัวข้างบนจะถูกใช้หมดสภาพไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาและปกป้องเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพปกติ ดังนั้นน้ำมันหล่อลื่นเมื่อถูกใช้งานไประยะหนึ่ง น้ำมันพื้นฐานจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเป็นผลให้ความหนืดเปลี่ยนแปลงไป และเกิดสารเคมีจำพวกกรดที่มีอำนาจการกัดกร่อน พร้อมทั้งสารเพิ่มคุณภาพจะเริ่มหมดไป เป็นสาเหตุให้เราต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่ที่มีความหนืดถูกต้องและมีสารเพิ่มคุณภาพเต็มจำนวน เพื่อช่วนให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป

สิ่งเจือปนในน้ำมันหล่อลื่นอื่นๆ เช่น เศษโลหะจากการสึกหรอ เขม่า น้ำ และตัวเนื้อน้ำมันพื้นฐานที่เสื่อมคุณภาพแล้ว จะเพิ่มปริมาณขึ้นอยู่ตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะมีหม้อกรองน้ำมันช่วยกรองสารเหล่านี้แล้ว แต่ยังมีสิ่งเจือปนขนาดเล็กแขวนลอยอยู่ในน้ำมันได้ เนื่องจากผลของสารเพิ่มคุณภาพประเภทกระจายเขม่า แต่อย่างไรก็ตามเมื่อใช้น้ำมันหล่อลื่นไประยะหนึ่งสารเจือปนเหล่านี้จะมีเกินกำหนดที่สารกระจายคราบเขม่าสามารถกระจายได้ คราบเขม่าเหล่านี้จะจับตัวเป็นก้อนก่อให้เกิดโคลน (Sludge)ในน้ำมัน ทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพและต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในที่สุด

จากการเสื่อมสภาพของน้ำมันข้างต้นเป็นการยากที่ผู้ใช้น้ำมันจะสังเกตได้ว่าน้ำมันหล่อลื่นที่ใช้อยู่ได้เสื่อมสภาพไปมากน้อยเท่าไรแล้ว ผู้ใช้จึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้กำหนดไว้ ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวได้มาจากประสบการณ์ของผู้ผลิตเครื่องยนต์ และคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นตามที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้แนะนำไว้



ชนิดของน้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องมี 2 ชนิดหลักคือ น้ำมันเครื่องธรรมดา (Conventional) และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic)

ข้อแตกต่างระหว่างน้ำมันเครื่องชนิดธรรมดากับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ คือ น้ำมันเครื่องธรรมดาผลิตจากปิโตเลียม และ นำมาผสมสารเคมีเพิ่มคุณภาพ หรือที่เรียกกันว่า additive เพื่อให้น้ำมันเครื่องมีคุณภาพดีขึ้น ส่วนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เป็นน้ำมันเครื่องที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยกระบวนการทางเคมี ชึ่งทำให้โมเลกุลของน้ำมันเครื่องชนิดนี้ ทนทานต่อสภาพการ ทำงานที่ความร้อนสูงจัดได้ดี และมีอายุนานกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดามาก

นอกจากนั้นน้ำมันเครื่องธรรมดา ยังไม่สามารถขจัดสารที่ไม่พึงประสงค์เช่น WAX, SULFER และสารอื่นๆ ออกจาก กระบวนการผลิตปิโตเลียมได้ ซึ่งสารเหล่านี้จะไม่มีในน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ และการที่น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ไม่มีส่วน ผสมของ wax นี้ ทำให้น้ำมันเครื่องใหลเวียนไปหล่อลื่นชิ้นส่วนได้อย่างรวดเร็ว ระบายความร้อนได้ดีสามารถทำงานได้ ดี ตั้งแต่อุณภูมิต่ำสามารถปกป้องเครื่องยนต์ จากการสตาทครั้งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสึกหรอ ของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี

ส่วนน้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-synthetic) หรือ (blend-synthetic) เกิดจากการผสมของนำมันเครื่องธรรมดา
และสังเคราะห์


ข้อแนะนำการเลือกใช้น้ำมันเครื่อง

การเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้ดูจากคำแนะนำของผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นโดยต้องคำนึงถึง มาตรฐาน API ดรรชนีค่าความ หนืด และ ชนิดของน้ำมันเครื่อง การเลือกใช้นำมันเครื่องที่ถูกต้อง จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มสมรรถณะ และมี อายุการใช้งานยาวนาน

อันตรายจากการเลือกใช้น้ำมันเครื่องผิดประเภท

การเลือกใช้น้ำมันเครื่องผิดประเภทมีผลถึง สมรรถนะ การบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง และอาจเกิดความเสียหายรุนแรงต่อ เครื่องยนต์ได้ การเลือกใช้ดรรชนีค่าความหนืด ต้องให้ค่าตรง หรือใกล้เคียงคู่มือรถมากที่สุด การใช้น้ำมันเครื่องใส อาจทำให้รู้สึกว่าเครื่องยนต์ลื่นขึ้น เนื่องจากตัวเนื้อน้ำมันเครื่องมีความหนืดต่ำ แต่บางกรณีที่ใช้ต่ำกว่าตามมาตรฐานที่ระบุในคู่มือรถไปมาก อาจทำให้เกิดควันขาว แรงดันน้ำมันเครื่องตก และเครื่องยนต์เสียหายรุนแรงได้ การใช้น้ำมันเครื่องหนืด (ข้น) เกินไปอาจเป็นสาเหตุให้รถกินน้ำมันมากขึ้น การระบายความร้อนด้อยลง ขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่รอบสูง น้ำมันเครื่องอาจไหลจากฝาสูบกลับมาอ่างน้ำมันเครื่องได้ไม่เต็มที่ เครื่องยนต์อาจเกิดการเสียหายได้
การใช้มาตรฐาน API ต่ำกว่าที่กำหนด อาจจะทำให้เครื่องยนต์มีการสึกหรอมากขึ้น ในระยะยาวและอาจมีปัญหากับตัว catalytic converter

ดัชนีค่าความหนืด

เป็นตัวกำหนดค่าความข้น หรือใสของนำมันเครื่องที่เหมาะกับ การทำงานของเครื่องยนต์เครื่องนั้น รวมถึงสภาพภูมิประเทศในการใช้งาน ตัวเลขน้อยหมายถึง น้ำมันที่มีความใสมากมัก จะเหมาะกับรถที่ใช้งานในเขตหนาว ตัวเลขยิ่งสูงความหนืดยิ่งสูงเหมาะกับอากาศร้อน รถและเครื่องยนต์รุ่นเดียวกันเมื่อใช้งานในต่างสภาพภูมิอากาศกัน ผู้ผลิตรถยนต์ก็จะแนะนำให้ใช้ค่าความหนืดต่างกัน


มาตรฐาน API (API Service Category)

สำหรับรถเครื่องยนต์เบนซิน (gasoline engine)

จะเริ่มต้นด้วยอักษร S น้ำมันเครื่องที่มีขายอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันเป็นเกรด SE ถึง มาตรฐานใหม่กว่า ใช้แทนน้ำมันเครื่องมาตรฐานเก่าได้เสมอ เช่นรถยนต์ผลิตปี 1990 คู่มือรถระบุให้ใช้ SF รถคันนั้นสามารถใช้เกรด SG, SH, หรือ SJ แทนได้ทันที น้ำมันเครื่องที่จำหน่ายใน CG0-400 มีมาตรฐาน API SH และ SJ

มาตรฐานและรายละเอียด

SJ มาตรฐานปัจจุบันประกาศใช้ปีเมื่อ 1996 ใช้กับรถรุ่นปี 1996 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
SH มาตราฐานปีก่อน 1996 ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถผลิตไม่เกินปี 1996 หรือเก่ากว่า
SG มาตราฐานปีก่อน 1993 ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถผลิตไม่เกินปี 1993 หรือเก่ากว่า
SF มาตราฐานปีก่อน 1988 ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถผลิตไม่เกินปี 1988 หรือเก่ากว่า
SE มาตราฐานปีก่อน 1979 ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถผลิตไม่เกินปี 1979 หรือเก่ากว่า
SD มาตราฐานปีก่อน 1971 ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถผลิตไม่เกินปี 1971 หรือเก่ากว่า
SC มาตราฐานปีก่อน 1967 ใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถผลิตไม่เกินปี 1967 หรือเก่ากว่า
SB มาตรฐานเก่าสำหรับเครื่องยนต์รุ่นเก่า
SA มาตรฐานเก่าสำหรับเครื่องยนต์รุ่นเก่า


สำหรับเครื่องยนต์ DIESEL

จะเริ่มด้วยอักษร Cน้ำมันเครื่อง ดีเซล เกรดใหม่ API กว่าสามารถใช้แทนเกรดเก่ากว่าได้ ยกเว้นในกรณีพิเศษบางกรณี

มาตรฐานและรายละเอียด

CH-4 มาตรฐานปัจจุบัน เริ่มใช้ปี 1998 สำหรับเครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาดเล็ก ที่ใช้นำมันดีเซลที่มีกำมะถันไม่เกิน 0.5%
CG-4 มาตรฐานปัจจุบัน เริ่มใช้ปี 1995 สำหรับเครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาดเล็ก ที่ใช้นำมันดีเซลที่มีกำมะถันไม่เกิน 0.5% โดยน้ำหนัก เพื่อให้ผ่านกฎหมายควบคุมมลพิษปี 1994 ใช้แทน CD, CE, CF-4 ได้
CF-4 มาตรฐานปัจจุบัน เริ่มใช้ปี 1990 สำหรับเครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาดเล็ก ใช้แทน CE ได้
CF-2 มาตรฐานปัจจุบัน เริ่มใช้ปี 1994 สำหรับเครื่องยนต์ 2 จังหวะขนาดเล็ก ใช้แทน CD-II ได้
CF มาตรฐานปัจจุบัน เริ่มใช้ปี 1994 สำหรับเครื่องยนต์ indirect injection เท่านั้น ใช้นำมันที่มีกำมะถันสูงกว่า 0.5% โดยนำหนัก ใช้แทน CD ได้
CE ยกเลิกแล้ว เริ่มใช้ปี 1987 สำหรับเครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาดเล็ก ใช้แทน CC และ CD ได้
CD-II ยกเลิกแล้ว เริ่มใช้ปี 1987 สำหรับเครื่องยนต์ 2 จังหวะ
CD ยกเลิกแล้ว เริ่มใช้ปี 1955
CC ยกเลิกแล้ว สำหรับใช้กับเครื่องยนต์ปี 1961 ขึ้นไป
CB ยกเลิกแล้ว สำหรับใช้กับเครื่องยนต์ปี 1949
CA ยกเลิกแล้ว สำหรับใช้กับเครื่องยนต์ปี 1940 – 1950


จะใช้น้ำมันเครื่องชนิดใด

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์มีคุณภาพ ในทุกด้านดีกว่า และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดามาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีราคาแพงกว่ามากเช่นกัน ฉนั้นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเคื่องธรรมดาที่มีคุณภาพสูง อาจจะคุ้มค่ากว่า การใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์
นอกจากจะต้องการใช้รถนานนับแสน หรือหลายแสนกิโลเมตร โดยเครื่องยนต์ยังคงสภาพดีอยู่ กรณีนี้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ส่วนกรณีที่ผู้ผลิตรถยนต์ระบุให้ใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ รถคันนั้นต้องใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์เท่านั้น เนื่องจากรถเหล่านี้จะถูกกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง นานกว่ารถที่ใช้น้ำมันเครื่องธรรมดามาก

เมื่อไรจะถึงเวลาเติม-เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

ให้ยึดถือตามที่ผู้ผลิตรถยนต์ระบุไว้ในคู่มือประจำรถแต่ละคัน ซึ่งอาจจะมีระยะยาวหรือสั้นแตกต่างกันมาก ในรถแต่ละยี่ห้อสาเหตุใหญ่ก็เนื่องมาจาก คุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ระบุให้ใช้ เช่น รถที่ระบุให้ใช้กับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ จะมักจะถูกกำหนดให้เปลี่ยนถ่ายที่ 15,000 กม และอาจถึง 30,000 กม. โดยทั่วไปแล้วรถยนต์ทั่วไป จะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 5,000 ถึง 7,500 กม.
ส่วนน้ำมันเครื่องดีเซลมักจะถูกกำหนด ให้เปลี่ยนถ่ายเร็วกว่าเครื่องเบนซิน เนื่องจากเครื่องดีเซลมีเขม่าจากการเผาไหม้มากกว่า และเขม่าเหล่านี้จะหมุนเวียนอยู่ในน้ำมันเครื่อง
ส่วนรถที่ใช้งานหนักกว่าปกติ คือวิ่งเส้นทางระยะทางสั้นๆเป็นประจำ หรือ ขับด้วยความเร็วสูงมากเป็นประจำ ควรจะต้องเปลี่ยนถ่ายเร็วกว่าที่ผู้ผลิตกำหนด ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานของรถแต่ละคัน
ในกรณีที่ยอมจ่ายแพง เพื่อใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงกว่าที่ผู้ผลิตกำหนด สามารถยืดระยะการเปลี่ยนถ่ายออกไปได้ แต่ก็ไม่ควรเพิ่มเกิน 50% หรือ 2 เท่า ของที่ผู้ผลิตกำหนด เนื่องจากข้อจำกัดของไส้กรอง เนื่องจากน้ำมันเครื่องเมื่อใช้เป็นเวลานาน มีเศษโลหะจากเครื่องยนต์ และสารแขวงลอย จากการเผาไหม้หมุนเวียนอยู่ในน้ำมันเครื่อง เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์ต้องถ่ายทิ้ง
ควรตรวจและเติมน้ำมันเครื่องให้เต็มอยู่เสมอ เนื่องจากน้ำมันเครื่องมากจะเสื่อมสภาพช้ากว่า และระบายความร้อนได้ดีกว่า รถยนต์รุ่นใหม่ที่เน้นเรื่องการควบคุมมลพิษ จะควบคุมการเผาไหม้ของน้ำมันเครื่องได้ดีมาก ทำให้น้ำมันเครื่องเต็มอยู่เสมอ แม้จะใช้งานไปนานถึงแม้ว่าน้ำมันเครื่องจะไม่พร่องเลย ก็ยังคงต้องเปลี่ยนถ่ายตามที่ผู้ผลิตกำหนด

ที่มา : radiothailand.prd.go.th
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำมิได้มีเจตนาในการคัดลอกเพื่อผลประโยชน์ทางด้านการค้า แต่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลความรู้แก่ผู้สนใจเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น